วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2558

Song for writing

Song for writing

       When I feel like I want to express something out of my heart; my sadness or my happiness. I will put down the feeling to the book but the writing will be best to be written along the music. Here is my favorite song for writing.

1. Ost. The Hours by Philip Glass

2. A Case of You by Joni Mitchel

3. Ost. Out of Africa by John Barry

4. Ost. The Mission by Ennio Morricone

5. Sometimes by My Bloody Valentine

6. Ost. Ida 

7. Ost. Romeo and Juliet by Andre Rieu

8. เพียงเธอ by สุกัญญา มิเกล

9. Nothing compares 2 U - Sinead O'Connor


10. Songs from Mumford and sons

11. Ost. Almost Famous, Cabin in the Air by Nancy Wilson
https://www.youtube.com/watch?v=jv7HXLJFprE



วันเสาร์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2555

Top 10 songs of 2012


My top 10 songs of 2012

ว่างๆ รับปีใหม่ ไม่มีอะไรทำ ผมเลยขอจัดอันดับเพลงที่ตัวเองชอบ(โดยการส่วนตัว) ในปีนี้กันเลยดีกว่า 

10. I Won't Give up - Jason Mraz

เพลงเพราะ เนื้อหาดี ไม่มีที่ติ 

9. Too Close - Alex Care
ฟังครั้งแรกก็ชอบเลย เพิ่งรู้ว่าเคยเป็นกิ๊กเก่าตำนานอย่างเอมี่ ไวน์เฮาส์ด้วย

8. The A Team - Ed Sheeran
เพลงเพราะ เอ็มวีเศร้า ว่าที่เพลงยอดเยี่ยมแกรมมี่อวอร์ดส์

7. Learn Me Right - Birdy & Mumford and Sons (Ost. Brave)
ตัวเต็งเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยมออสการ์ปีนี้(ถ้าไม่โดน skyfall ปาดหน้าเค้กไปก่อน) ดนตรีกลิ่นสก็อตติช บวกกับเสียงหวานของนักร้องนำ เลิศ!!

6. Hold On - Alabama Shakes
รู้จักวงนี้ครั้งแรกจากงพี่โซ่ (Xabi Alonso) แนะนำในทวิตเตอร์เมื่อปีที่แล้ว กับเพลง I Found you (อีกเพลงที่แนะนำ)

5. We Are Young & Some Nights - Fun
มาแรงจริงๆ วงนี้ ไม่หน้าเชื่อว่า We Are Young จะฮิตกระฉูดจนอยู่อันดับหนึ่งบิลบอร์ดมาหลายอาทิตย์ และยังเป็นว่าที่เพลงยอดเยี่ยมแห่งปีแกรมมี่อวอร์ดส์เ่ช่นเดียวกัน 

4. Ellie Gouding's Songs
(Lights, Anything Could Happen, I Know You Care)
หลายคนอาจจะบอกว่าเสียงเธอไม่เพราะ แต่แอลลี่ขวัญใจผมมีดีแค่เสียงครับ เพราะเธอเขียนเพลงเอง Lights อันดับสองบิลบอร์ดแถมยังอยู่ในชาร์ตกว่า 50 สัปดาห์แล้ว แต่ผมกลับชอบเพลง I know you care ของเธอมากกว่า เนื่องจากเนื้อหาเพราะมาก กัดกินใจสุดๆ

3. Lover of the Light - Mumford and Sons
อัลบั้มนี้อาจจะไม่ดีถึงกับอัลบั้ม Sign No More แต่ Mumford and Sons วงโปรดของผมก็ไม่เคยทำให้แฟนๆต้องผิดหวัง 

2. Home - Phillip Phillips
ซิงเกิ้ลแรกของผู้ชนะ American Idol ซีซั่นเท่าไรไม่รู้ขี้เกียจจำ รู้แต่ว่าเพลงนี้ Catchy สุดๆ ดังขนาด American Gymnastics Team ถึงกับนำไปใช้โปรโมตในช่วงการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ในขนะที่ดนตรีกลิ่นอาย Mumford and Sons มากๆ ส่วนเสียงร้องก็น้องๆ Bruce Springsteen เลย แถมยังเป็นนักร้องจากเวทีนี้ที่ผมปลื้มที่สุด

1. Origin of Love - Mika
Love is a drug and you're my chocolate. ทั้งเพลงทั้งมิวสิควีดีโอ เยี่ยมแบบไม่รู้จะติตรงใหน

วันเสาร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2555

Lover of the Light ที่รักแห่งแสงสว่าง


Lover of the Light by Mumford and Sons

             เพลงใหม่จากวงดนตรีแนวโฟล์คร็อคจากแดนอังกฤษ Mumford and Sons ที่นอกจากจะมีดีที่แนวดนตรีและเนื้อหาของเพลงแต่ละเพลงของวงนี้ก็เยี่ยมไม่แพ้กัน วันนี้ผมเลยอยากจะหยิบเพลงหนึ่งที่ชื่นชอบมากที่สุดของวงนี้มาแปล(แบบกากๆ ไม่สวยเท่าไร) 

And the Middle of the Night
ในกลางค่ำคืน
I may watch you go
ฉันอาจจะมองเห็นเธอเดินจากไป
There'll be no value in the strength
มันไม่มีค่าเลยในการต้านทาน
of the walls that I have grown
ของกำแพงที่ฉันก่อมันขึ้น
There'll no comfort in the shade
มันไม่ได้สบายเลยในเงา
of the shadows thrown
ของร่มเงาที่สาดส่องเข้ามา
But I'd be yours if you'd be mine
แต่ฉันก็ต้องการจะเป็นของเธอ ถ้าเธอต้องการจะเป็นของฉัน

Stretch out my life, and pick me the seams out
ฉันแผ่ชีวิตของฉันออก และแกะรอยเย็บออกไป
Take what you like, but close my ears and eyes
ทำสิ่งที่เธออยากจะทำ แต่ฉันก็จะปิดหูและปิดตาของฉันเช่นกัน
Watch me stumble over and over
ให้เธอดูฉันล้มลุกคลุกคลานซ้ำแล้วซ้ำอีก

I had done wrong
ฉันเคยทำพลาดผิดไป
you built your tower, but call me home
เธอสร้างหอคอยของเธอ แต่เปรียบฉันเสมือนบ้าน
and I will build a throne
และฉันก็จะสร้างบัลลังค์
And wash my eyes out never again
และก็ล้างสิ่งที่เคยผ่านเข้ามานั้นออกไป

But love the one you hold
แต่กับความรักที่เธอถือไว้
And I'll be your goal
และฉันก็จะเป็นเป้าหมายในเธอ
To have and to hold
เพื่อมีและคว้ามันไว้
A lover of the light
ที่รักแห่งแสงสว่าง

Skin too tight
ผิวหนังแน่นหนา
and eyes like marbles
และดวงตาที่ประดั่งลูกแก้ว
You spin me high
เธอหมุนฉันสูงขึ้นไป
so watch me as I glide
แล้วก็มองฉัน เสมือนฉันกำลังร่อนลม
Before I tumble homeward, homeward
ก่อนฉันจะตกลงมาสู่บ้าน สู่บ้านของฉัน

I know I've tried
ฉันรู้ว่าฉันพยายามแล้ว
I was not stable
ฉันไร้ความมั่งคง
And flawed by pride
และก็มีตำหนิจากความทะนงตน
I miss my sanguine eyes
ฉันคิดถึงสายตาอันร่าเริงของฉัน
So hold my hands up -- breathe in, and breathe out
ที่คว้ามือของฉันชูขึ้นไป หายใจเข้า และก็หายใจออก



                  ** เพลงนี้แปลยากพอสมควรเลย จะว่าเป็นแนวโรแมนติกก็ไม่ใช่ทั้งหมด จะแนวศาสนาหน่อยๆก็ไม่เชิง
                      ส่วน home ก็น่าจะหมายถึงการเป็นคนรัก เหมือนกับที่เพลงหลายๆเพลงชอบเปรียบเทียบ คนรักเสมือนบ้านของตน สุดท้ายแล้วถ้าแปลผิดพลาดอะไรก็ขออภัยด้วยครับ ^^

วันอาทิตย์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2555

Al otro lado del río ถ้ายังมีหวัง ชีวิตก็ยังไม่ดับสูญ


วันนี้เราจะมาแปลเพลงภาษาสเปน Al otro lado del río เพลงประกอบภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องชีวิตการเดินทางของนักปฏิวัติผู้ยิ่งใหญ่อย่าง Che Guevara (เช เกวาร่า) ในช่วงปีสุดท้ายก่อนจบการเรียนแพทย์ เพิ่งแปลส่งอาจารย์ ร้อนวิชาเลยอยากนำมาลงบล็อก ^^

Clavo mi remo en el agua
ฉันจุ่มไม้พายของฉันลงไปในน้ำ
Llevo tu remo en el mío
ประทับมือของเธอนั้น ไว้ที่ดวงใจของฉัน
Creo que he visto una luz al otro lado del río
ฉันเชื่อว่าฉันเห็นแสงไฟ อยู่อีกฝั่งของแม่น้ำ

El día le irá pudiendo poco a poco al frío
ในวันที่ฉันจะต้องเข็มแข็งขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ต่อต้านกับความหนาวเย็น
Creo que he visto una luz al otro lado del río
ฉันเชื่อว่าฉันเห็นแสงไฟ อยู่อีกฝั่งของแม่น้ำ 

Sobre todo creo que no todo está perdido
เหนือสิ่งอื่นใด ฉันเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่ได้หายไปใหน
Tanta lágrima, tanta lágrima y yo, soy un vaso vacío
ยิ่งเจ็บปวด ยิ่งเสียน้ำตา และฉันก็เป็นเพียงแก้วเปล่าใบหนึ่ง

Oigo una voz que me llama casi un suspiro
และฉันก็ได้ยินคนเรียกชื่อฉัน แผ่วเบาเหมือนเสียงกระซิบ
Rema, rema, rema-a Rema, rema, rema-a
จงพายไป พายต่อไป พายต่อไป 

En esta orilla del mundo lo que no es presa es baldío
บนฝั่งของโลกใบนี้ ที่ที่เรานั้นโดนกักขัง
Creo que he visto una luz al otro lado del río
แต่ฉันก็เชื่อว่าฉันเห็นแสงไฟ อีกฝั่งของแม่น้ำ

Yo muy serio voy remando muy adentro sonrío
ฉันรู้สึกจริงจัง กำลังพายต่อไป และฉันก็ยิ้ม
Creo que he visto una luz al otro lado del río
เพราะฉัน เชื่อว่าฉันเห็นแสงไฟ อีกฝั่งของแม่น้ำ 

หลังจากแปลจบ อยากจะชม Jorge Drexler นักร้อง นักแต่งเพลง ว่า T'u eres muy genial 
"ชีวิตคนก็เหมือนการพายเรือ ยิ่งพาย ยิ่งเหนื่อย ถึงเราจะทุกข์ขนาดใหน ก็อย่าสูญสิ้นความหวังและกำลังใจ"


วันอาทิตย์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2555

การเติบโตที่เดินทางมาพร้อมกับความสูญเสีย

           
                  ในคืนวันที่ผมเดินทางกลับบ้าน ซึงผมก็จำไม่ได้ว่ามันเป็นวันอะไรหรือวันที่เ่ท่าไร แต่มันเป็นวันที่ผมรู้สึกกระฉุ่มกระฉวยโหยหาความรู้สึกเดิมๆอีกครั้งหนึ่ง ผมอยากกลับบ้าน กลับไปเติมไฟชีวิต กลับไปเห็นหน้าคนที่เรารักเราคิดถึง กลับไปโอบกอดเพื่อนที่ดีที่สุดของเรา ผมขึ้นรถเวลาโดยสารเวลาเที่ยงคืนกว่า ผมนอนหลับๆตื่นๆ ซึ่งไม่แปลก เป็นประจำเวลาโดยสารรถบัสตอนกลางผมมักนอนไม่หลับ เพราะแสงไฟข้างทาง เสียงเครื่องยนต์ เสียงแอร์ หรือไม่ชินกับคนแปลกหน้าที่นั่งข้างผม หลังจากถึงสถานีผู้โดยสารของนครชัยแอร์ ผมก็เดินทางไปขึ้นรถตู้ที่อนุสาวรีย์ ในใจผมตุ่มๆต่อมๆ เพราะก่อนหน้านั้นแม่และพี่สาวโทรหาบอกผมเรื่องหมาตัวหนึ่งที่ผมรักมากที่สุด (ยืนยันว่ารักมากที่สุด) ป่วย กินข้าวไม่ได้ ผมก็ได้แต่ดูรูปเจ้า "กระท้อน" หมาของผมในโทรศัพท์และภาวนาขอให้เขาหายดี อยู่กับผมไปนานๆ แม้ใจผมจะหวาดหวั่นอยู่บ้าง เพราะกระท้อน มีอายุถึง 11 ปี อยู่กับผมมาตั้งแต่ผมอยู่ชั้นป.6 จนตอนนี้ผมอายุเหยียบ 20 แล้ว
                จนกระทั่งผมกลับถึงบ้าน สิ่งที่ผมถามหาจากแม่คือกระท้อน แล้วผมก็ช็อค แม่บอกว่ากระท้อนจากไปแล้ว จากไปเมื่อคืนวาน ผมช็อค ผมทำอะไรไม่ได้ ผมอยากร้องไห้ ผมก็ไม่กล้า ผมทำทุกสิ่งทุกอย่างต่อไปอย่างปกติ เก็บข้าวของในห้อง แต่ข้างในใจผมคงจะเป็นมหาสมุทรแห่งน้ำตาเลยก็ว่าได้ ข่าวร้ายสำหรับผมนั้นยังไม่พอ เมื่อแม่บอกว่าฝังกระท้อนไว้ที่ไร่ ผมเสียใจมาก มากถึงมากที่สุด ได้แต่บ่นกับแม่ว่าทำไมไม่ฝังที่บ้าน ผมคิดว่ากระท้อนคงอยากอยู่กลับเราที่บ้านมากกว่าที่ไร่ แต่ก็ได้รับคำตอบจากพ่อหลังจากพ่อกลับมาบ้านว่า อยากจะฝังที่บ้านอยู่เหมือนกัน แต่ขุดดินไม่ไหว ดินแข็งมาก แต่พอก็สัญญาว่าจะทำหลุมกระท้อนให้ดีที่สุด เพราะกระท้อนอยู่กลับครอบครัวเรามานานมาก ตั้งแต่บ้านเก่าจนกระทั่งบ้านใหม่
               จากการที่เสียกระท้อนไป ผมได้แต่คิดถึงกระท้อนเสมอ แล้วคิดว่าตอนนี้กระท้อนอยู่ที่ไหน สบายดีไหม ลำบากไหม วิญญาณกระท้อนจะอยู่ที่้บ้านเราหรือว่าอยู่ที่ไร่ ผมเฝ้าอ้อนวอนในใจถึงปู่ย่าตายายที่ล่วงลับไปแล้วว่า ให้พากระท้อนกลับมาอยู่บ้านเราด้วย กลับมาอยู่บ้านเรา มาวิ่งเล่นในบ้านเรา แม้เวลาให้อาหารกับหมาอื่นๆตัวที่เหลือ หรือเวลาผมกินข้าว ผมก็จะเรียกกระท้อนมาอยู่ด้วย ผมทำเช่นนี้ทุกวัน และผมก็จะทำมันทุกวันตลอดไป ผมยังจำภาพกระท้อน หมาพุดเดิ้ลตัวน้อยวัย 2 เดือน ที่พี่สาวเอามาเลี้ยงที่บ้านได้ เราต้องชื่อกระท้อนเพราะว่าพี่ชายของกระท้อนนั้นชื่อกระเทียม คืนแรกกระท้อนนอนร้องบนชั้นบนสุดของบันได้ทั้งคืน เพราะกลัวอยากอยู่กลับคน เราเคยพากระท้อนไปวิ่งเล่นในวังบ้านปืนตอนเย็น เคยพานั่งมอเตอร์ไซค์ไปกลับเรา เราพากระท้อนไปผสมพันธุ์กับหมาพันธุ์เดียวกันชื่อ เจ้าแม็กซ์ ที่้ร้านโจ๊กบ้านของเจ้าแม็กซ์ กระท้อนมีลูกทั้งหมด5 ตัว ตัวผู้1ตัว ตัวเมีย4ตัว สีน้ำตาลอ่อน2ตัว สีน้ำตาลเข้ม2ตัว และสีขาว1ตัวซึ่งเป็นน้องสุดท้อง เมื่อครั้งที่กระท้อนเจ็บท้อง ทั้งแม่และพี่สาวก็ตาลีตาเหลือกกลัวกระท้อนจะเป็นอะไร เพราะไม่เคยเลี้ยงหมา ก่อนหมอจะอัลตราซาวน์แล้วให้กลับมาคลอดที่บ้าน กระท้อนคลอดลูกที่ห้องใต้บันได้(ซึ่งเป็นห้องแต่งตัว) เรายกนี้ให้กระท้อน
ลูกตัวแรกของกระท้อนเป็นตัวผู้ สีน้ำตาลเข้มชื่อ ลูกตาล เราเลี้ยงลูกตาลไว้ ซึ่งลูกตาลได้จากโลกนี้ไปแล้วก่อนแม่ของลูกตาล ตาลเป็นหมาที่น่ารัก ขี้อ้อน แล้วชอบขี้ติดตูดด้วย ต้องฉีดล้างให้เป็นประจำ
ลูกตัวที่สองของกระท้อนเป็นตัวเมียสีน้ำตาลอ่อน(จำชื่อไม่ได้) เรายกให้ผู้กองในค่ายทหารไปเลี้ยง
ลูกตัวที่สามของกระท้อน เป็นตัวเมียสีน้ำตาลเข้ม ชื่อตุ๊กติ๊ก เราก็เลี้ยงเอาไว้ ตอนนี้ตุ๊กติ้กยังอยู่ เป็นทั้งหมาขี้อายแล้วก็ขี้อ้อนในเวลาเดียวกัน ตุ๊กติ๊กเตี้ย อ้วน ป้อม เหมือนกระท้อน แล้วชอบโดนกระท้อนข่มอยู่บ่อยๆ
(ตุ๊กติ๊ก)
ลูกตัวที่สี่ของกระท้อน เป็นตัวเมียสีน้ำตาลอ่อน ชื่อว่าป๊อกแป๊ก เป็นหมาน่าสงสาร เคยพามันไปหาหมอเพราะมันอึไม่ออก ตอนแรกบ้านเราจะเลี้ยงไว้ แต่ญาติทางฝั่งแฟนพี่สาวก็ขอไปเลี้ยงแล้วก็เปลี่ยนชื่อเป็น จิ๊กซอว์ ตั้งแต่เราย้ายบ้านมาก็ไม่เคยเจอจิ๊กซอว์อีกเลย
ลูกตัวสุดท้ายของกระท้อนชื่อแมวเหมียว เป็นตัวเมีย สีขาวเหมือนกระท้อน ขี้โรคหน่อยๆ เราตั้งชื่อแมวเหมียวเพราะ กระท้อนแม่ของแมวเหมียวนั้นชอบจับหนู เลยตั้งชื่อให้เป็นแมวซะเลย ตอนนี้แมวเหมียวยังอยู่ที่บ้านของเรา แต่ตาบอดข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างมองไม่ค่อยเห็น แม่มักเอาแมวเหมียวนอนไว้ในครัว เพราะมันเคยเดินหลงออกไปข้างนอกมั่วซั่วครั้งหนึ่งแล้ว แม่ไม่อยากให้มันหายไป เพราะมันคงกลับบ้านไม่ถูกแน่ๆ ซึ่งปกติแมวเหมียวก็นอนอยู่ในครัวไม่ค่อยออกไปใหน
แมวเหมียว(โดนอาบน้ำ)
                  เพราะเสียกระท้อนไป ทำให้ผมเข้าใจได้อย่้างหนึ่งว่าการเสียคน หรืออะไรก็ตามที่เรารักมากที่สุดเป็นอย่างไร ทำไมบางคนถึงโหยหาถึงคนที่จากไป ทำไมบางคนเสียใจมากถึงต้องใช้เวลาช่วยเยียวยาจิตใจที่บอบช้ำ และเป็นครั้งแรกที่ผมได้รู้รสชาติและเข้าใจสัจจธรรมอย่างหนึ่งของความสูญเสียได้ชัดเจนที่สุด ในช่วงแรกๆ ผมได้แต่เฝ้าหลอกตัวเองแล้วแกล้งลืมว่าคนที่เรารักจากไปแล้ว แต่ก็เท่านั้นล่ะครับ ไม่นานผมก็คิดถึงมันอีกครั้งหนึ่ง ผมรู้สึกอยากกลับไปใหนช่วงเวลาเก่าๆของชีวิตไม่อยากโต อยากหยุดเวลาไว้อย่างนั้น แต่ชีวิตก็คือชีวิตครับ ซึ่งที่ัขับเคลื่อนชีวิตและสังขารเราคือเวลา ในอนาคตเราอาจโตขึ้นแต่เราปฏิเสธไม่ได้ว่าเราจะต้องสูญเสียคนที่เรารักคนอื่นไปแน่นอน เราเกิืดมาบนโลกนี้เพื่อมาเติมเต็ม รับรู้ สิ่งที่เราอาจจะไม่เคยได้รับในชาติก่อนๆ พวกเราไขว่คว้าหาความสุข แต่ถ้าเรานึกลองดูอีกทีไม่มีอะไรเป็นความสุขได้เท่ากับการเข้าใจชีวิต และความสุขที่ดีที่สุดคือการนิพพาน(การที่เราไม่ต้องเผชิญกับความทุกข์ใดๆ)
(กระท้อนตอนไม่สบาย เพิ่งผ่าตัดเสร็จ ห้ามอาบน้ำ)
จูดี้ ตัวนี้ก็แก่แล้ว แต่น้อยกว่ากระท้อนนิดหนึ่ง (ร็อตไวเลอร์ผสมพุดเดิ้ล จริงๆ)
น้ำหวาน น่ารักไม่เคยกัดใครเลย ขี้เซามาก ขี้อ้อนมากด้วย 
ไข่หวาน โดนอาบน้ำ
ตัวเล็ก ชิสุผสมชิวาวา ตัวแสบของบ้าน
** กระท้อนเสียวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2555 

วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

El Árbol de la Vida


El Árbol de la Vida
                  El Árbol de la Vida es la segunda película del director del cine americano “Terrence Malick” que fue considerado para ser un candidato de Óscar a la mejor película en 2011, a la mejor director, etc. La película está llenos de símbolos, opiniones y teorías. Esta película cuenta desde el origen del universo, el mundo sin animales hasta la época de dinosaurio. Adémas muestra la vida maravillosa y la fealdad. Por ejemplo : una escena de la película muestra un chico está nadando para abrir una puerta como el nacimiento de niño. Para la fealdad, el mayor hijo está enfadado su padre qué está peleando con su madre como una teoría de Sigmund Freud que se llama “Complejo de Edipo”. Para mí, no entiendo en alguna escena y alguna tema porque soy budista. En mi opinion la película cuenta 2 elecciones de la vida que son la carrera natural o “The Way of Natural” y la carrera de dios o “The Way of Grace” . Para mí, elijo la carrera natural porque no puedo ser el hombre perfectamente, pero voy a aprender mi vida con equivocaciones para desallorar mi trabajo y  mi vida también.

El Árbol de la Vida (Tráiler en español)
http://www.youtube.com/watch?v=9tMCsBD2wKI

Las otras imágenes de la película







La escena del origen del universo
http://www.youtube.com/watch?v=1WvuJwMFPz4